เทรนด์การทำการตลาดในยุค 2023 นี้คือการเน้นสร้างแบรนด์และเข้าไปถึงกลุ่มเป้าหมายในระยะยาว การเข้ามาขายของแบบฉาบฉวยเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป แต่นักการตลาดต้องวางกลยุทธ์ว่าทำยังไงแบรนด์ของเราถึงเข้าไปนั่งอยู่ในใจกลุ่มลูกค้าของเราให้ได้ในระยะยาว
โดยผลสำรวจพบว่า แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นกว่า 60% จะใช้การวางกลยุทธ์โดยคิดจากการสร้างแบรนด์ในระยะยาว (Long Term Marketing) สามารถสร้าง Outperform มากกว่าแบรนด์อื่น ๆ แต่ถ้าให้ได้ผลดีที่สุดนั้นจำเป็นจะต้องทำควบคู่ไปกับ “Perfomance Marketing” ที่ให้ผลลัพธ์ในระยะสั้นเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนขึ้น หรือสามารถเรียกสิ่งนี้ได้ว่า “Brandformace”
สิ่งที่ชี้วัดว่า Brandformance ที่เราวางกลยุทธ์เอาไว้นั้นมีอยู่ 4 ข้อ หรือ " F R M U "
Familiarity ระดับของการรู้จักและเข้าใจในตัวแบรนด์ ว่าลูกค้ามีความเข้าใจและรู้จักหรือคุ้นเคยกับตัวแบรนด์ของเรามากน้อยแค่ไหน
Regard ระดับของความชื่นชอบและเคารพต่อแบรนด์ ว่าลูกค้าของเรามีความเชื่อมั่นและไว้ใจแบรนด์ของเรามากน้อยแค่ไหน
Meaning สินค้าของแบรนด์มีความหมายต่อชีวิตของผู้คนมากน้อยแค่ไหน
Uniqueness สินค้าและแบรนด์มีความแตกต่างจากคู่แข่งเจ้าอื่นในตลาดแค่ไหน อย่างไร
นอกจากนี้แล้วยังต้องเปลี่ยน Mindset หรือวิธีการคิดเป็น “การขายของจะต้องได้ Branding ด้วย” ทั้งการวางกลยุทธ์แบบ Performance Marketing ในระยะสั้นก็ต้องไม่ลืมใส่กลยุทธ์สร้างแบรนด์ในระยะยาวเอาไว้ด้วย ในขณะเดียวกันการสร้างแบรนด์ในระยะยาวก็ต้องมี Short-Term Activation
ในส่วนของ Framework ที่จะใช้ในการทำ Brandformance ให้มีคุณภาพจะต้องประกอบไปด้วย
Heart หรือการใส่อารมณ์ร่วมและความจริงใจเข้าไปชนะใจกลุ่มเป้าหมาย
Head หรือสารของเราที่ต้องการส่งไปถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นอยู่ในความสนใจของเขาหรือไม่
Hand หรือการทดลองใช้ดูก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะประสบการณ์ที่ดีจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ไม่ยาก
สิ่งเหล่านี้นักการตลาดต้องนำมาปรับใช้กับการวางกลยุทธ์และต้องคำนึงถึงลูกค้าเป็นหลักอยู่เสมอ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดหากเป้าหมายของเราคือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า สินค้าหรือบริการของเราก็จะสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของลูกค้าได้ในระยะยาว
#Mahasajan #onlinemarketing #Brandstrategy #สร้างแบรนด์ #การตลาด #การวางกลยุทธ์
ความคิดเห็น